Wednesday, October 7, 2009

Hello Bhutan

ผมไปเที่ยวภูฐานกับสยามสมาคมฯจากวันที่ 1 ถึง 12 พค. 2552 ได้รับพร้อมทั้งความรู้และความสนุก กับประสบการณ์ ทิวทัศน์และรูปเสก็ตช์จำนวนหนี่ง
ด้วยสายการบินประจำชาติ Druk Air ของภูฐาน เราใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมงก่อนร่อนลงสนามบิน Paro ในระหว่างหุบเขาใหญ่สองลูก ซึ่งดูสวยประทับใจมาก ทั้งระหว่างร่อนจะลงและเมื่อมองจากระยะไกลหลังเครื่องได้ลงเรียบร้อยแล้ว ความยากง่ายในการร่อนลงกลางเขาสองลูกของสนามบินที่ได้ชื่อว่าขึ้นลงยากเป็นหนึ่งของโลก ไม่เคยอยู่ในมุมใดในหัวสำหรับผู้มาเยีอนเป็นครั้งแรกอย่างผมครับ

เมื่อเข้าในท่าอากาศยาน ก็ประทับใจเป็นอย่างมาก กับการประดับประดาสุดสดใสของสีสันลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ตามด้วยเครื่องแบบเจ้าหน้าที่สนามบิน ที่นอกจากสวยด้วยสีและลายแล้ว ก็ยังทำให้บรรยากาศการตรวจคนเข้าเมือง ดูผ่อนคลายน่าสบายใจอย่างประหลาด น่าจะเป็นแบบอย่างสำหรับประเทศต่างๆ ว่าบรรยากาศแรกเข้าเมืองสำคัญต่อผู้มาเยือนอย่างไร มีปัญหานิดเดียวสำหรับการเยือนภูฐานตรงที่ต้องตั้งสติอยู่พัก ว่าไม่ได้กำลังเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นนะ เท่านั้นเอง
The most striking feature upon arriving the airport was their officers, which I vote as the friendliest dress that immediately put you at ease.

จากสนามบิน เราเริ่มทัวร์ภูฐานด้วยเข้าชมพิพิธภัณท์แห่งชาติ Ta Dzong เดิมเป็นหอคอยเก่า สูง 5 ชั้น ลักษณะป้อมปราการทรงกลมดูน่าทึ่ง ทั้งงามและน่าตื่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับผู้ได้เห็นเป็นครั้งแรกอย่างพวกเรา
Ta Dzong: National Museum, Paro
Ta Dzong, former watch tower, now the National Museum in Paro.

เล็กๆน้อยๆภายในพิพิธภัณท์ทรงกลม บันทึกไว้กลางทางเดินโค้งและทางแยกต่างๆ
gallery
View inside the museum of curved path, exotic displays and directions.

จาก Paro เราเดินทางต่อไป Thimpu นครหลวงของภูฐาน
ยามเย็นใน Thimpu จากห้องพักโรงแรม Riverview สู่ตัวเมืองที่คลี่คาดไปตามเนินคลื่นของหุบเขา และอากาศเบาบางบนความสูง 2400 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
A room with a view from River View Hotel in Thimpu

สะพานข้ามแม่น้ำ ตรงข้ามตลาดสดกลาง Thimpu
Traditional timber bridge across fresh market in Thimpu.

จากตัวเมือง เราเดินทางไปวัดทาชิโจ บนเขาแห่งหนึ่ง การเดินทางขึ้นลงไปตามเนินเขานี้ใช้เวลาไปกลับเที่ยวละชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ความงามระหว่างทางและตัววัดนั้น คุ้มเกินความเหนี่อยเป็นหลายเท่า
View along the trek to a small private temple Tashichoe Dzong.

ภูฐานมี Dzong (ป้อมปราการที่แปรเปลี่ยนเป็นหน่วยบริหารการปกครองผสมกับกิจกรรมด้านศาสนา) ที่แทรกอยู่กับวิถีชีวิตประจำวันของชาวภูฐาน และ Lhakhang (วัดที่สร้างขึ้นเพื่อกิจกรรมทางศาสนาโดยตรง) กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปไมน้อยกว่า 2000 แห่งบนเนื้อที่ประเทศประมาณ 50000 ตร กม ที่มีประชากรประมาณ 6-7 แสนคนเท่านั้น
รูปเสก็ตช์ด้านล่างนี้เป็น ลักษณะทั่วไปของดซองแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยกำแพงอาคารด้านนอกล้อมรอบเป็นกรอบสี่เหลียมสูงประมาณ 3-4 ชั้น บริเวณกลางลานกว้างภายในกำแพงเป็นอาคารหลัก มักเป็นหอคอยด้วย ที่จะเป็นส่วนประกอบพิธีทางศาสนา คล้ายโบสถ์ของวัดไทย
One of some two thousand Dzongs (temples) and monasteries spread out all over Bhutan.

การเยือนภูฐานคือการเที่ยวชม Dzong มากมายหลายแห่ง ซึ่งล้วนแตกต่างกัน ทั้งประวัติความเป็นมา ความแตกต่างและเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ ตลอดจนอายุ ยุคสมัยในการสร้าง ตลอดจนความแตกต่างของการดัดแปลงใช้งานในปัจจุบันที่หลากหลาย เที่ยวจนสับสนปนเปในที่สุด
รูปเสก็ตช์ด้านล่าง เป็นตัวอย่าง Dzong ที่มีอาคารหลักตั้ง ณ กลางลานกว้าง ล้อมรอบด้วยอาคารสองชั้นที่เป็นเสมือนกำแพงชั้นนอก โดยเฉพาะ Dzong นี้ซึ่งเป็นสถานศึกษาด้วย อาคารสองชั้นที่รายล้อมจึงเป็นห้องพักของสามเณรน้อยๆจำนวนมาก
Most Dzong would have one or two inner courts. This courtyard is surrounded with two storey building serve as living quarters for the monks.

จากเมืองหลวงทิมภู เราเดินทางต่อไป ภูนาคา (Punaka) ทางตะวันออกของทิมภู Dzong ที่ภูนาคาเป็น Dzong ขนาดใหญ่สีขาวสอาด สูงสง่าตั้งตระหง่านเลียบริมแม่น้ำภูนาคา เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาในวโรกาสขั้นครองราชย์ กษัตริย์องค์ที่ 5 ของภูฐาน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551
รูปเสก็ตช์ด้านล่าง เป็นอาคารกลาง มองจากลานภายในลานแรก
Punaka Dzong is both beautiful and dominating, stood proudly by Punaka river.

Gangtey Lhakhang เป็นวัดสำคัญบนยอดเขาแห่งหนึ่งใน Talo สูงประมาณ 3000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รูปเสก้ตช์รูปนี้ ได้รับพรด้วยการเซ็นชื่อโดยท่านเจ้าอาวาส Trulku Thinley ซึ่งถือ(ได้รับการพิสูจน์รับรองแล้ว)ว่าเป็นลามะที่กลับชาติมาเกิดองค์หนี่ง
Gangtey at Talo. Cited as one of the most impressive Dzong, some 3000 meter high above sea level.

พิธีสวดมนต์ในสถานชั้นในของ Gangtey Lhakhang ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหมู่สงฆ์ ที่นั่งเรียงรายหลายแถว ในโถงสูงที่มีธงทิวห้อยระย้าเป็นแถบเป็นทาง หน้าแท่นบูชาที่มีองค์พระสีทองขรึมขนาดใหญ่น้อยมากมายหลายปาง เห็นผ่านริ้วควันธูปและเทียน เสียงประสานสวดที่แผ่วต่ำในบางครั้ง และรัวเร็วในบางคราว กลางจังหวะฆ้องกลอง กรับและแตรในบางครา คงจะไม่มีประสบการณ์ใดในชีวิตนี้ ที่จะทัดเทียบได้กับความรู้สึกของการอยู่ท่ามกลางเสียงสวดของหมู่สงฆ์ที่ภูฐานนี้ และท่ามกลางประสบการณ์แห่งชีวิตนี้ ผมวาดลายเส้นบนสมุดบันทึกให้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ
A wonderful first hand experience of a life time in sight, sound, physically and spiritually!

ทุกวัดในภูฐานเป็นแหล่งล้ำค่าด้านศาสนา ศิลปและประวัติศาสตร์ภาพเขียนผนังส่วนมากงดงามประณีตมีสีสันสวยงาม หลากหลาย สร้างขึ้นด้วยศรัทธาอันแรงกล้าของศิลปินไม่ปรากฎนามจำนวนมากและหลายแห่งที่มีอายุเก่าแก่หลายสิบศตวรรษ ภาพอันมีค่าเหล่านี้ หาชมได้ยากมาก หลายแห่งเก็บรักษาให้พ้นจากการแตะต้องด้วยการใช้ม่านปิดคลุมทั้งผนังด้วยซ้ำ รูปเสก็ตช์บางส่วนของพุทธศิลป์ในวัดแห่งหนึ่ง จากแรงบันดาลใจในขณะที่เห็นนั้น
One or other state of the enlightenment, mostly works of anonymity and some are far back as 7th century.

เดินทางต่อถึงช่วงกลางของภูฐานบนความสูงประมาณ ประมาณ 3000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่วนที่ราบกว้างกลางหุบเขาสูงใหญ่ Black Neck Crane Valley เนื้อที่กว้างใหญ่มากเป็นที่เหล่านกกระยางคอดำยึดเป็นแหล่งพำนักในช่วงหน้าร้อน พักที่โรงแรม Dawenchen ในหุบเขาที่ Phobjika เป็นโรงแรมเล็กๆ น่ารัก พร้อมเตาผิงใช้ฟืนในห้องนอน เพราะกลางคืนหนาว Phobjika ไม่มีระบบไฟฟ้าทั้งนี้ เพราะเกรงว่าเสาไฟและสายไฟจะมีผลกระทบระบบความเป็นอยู่ของเหล่ากระยางคอดำที่มาเยือนปีละครั้ง โรงแรมต้องใช้เครื่องปั่นไฟซึ่งปิดหลังสามทุ่มครึ่งด้วย ก็เลยสนุกกับการเติมท่อนฟืนไม้สนเนื่ออ่อน ติดไฟง่ายแต่ไม่นาน ต้องเติมใหม่ทุก 20 นาทีครับ
We had fun feeding logs into this charming heater, every 20 minutes or so, to keep away the 12 deg C.

ลึกเข้าไปในส่วนกลางของภูฐานสู่เมือง Trongsa และ Bhumtang โดยใช้ทางหลวงสายเดียวที่มีในประเทศ เวลาเดืนทาง 5 ชั่วโมงเศษบนทางที่พาดจากตะวันตกจดตะวันออกตลอดความกว้างของภูฐานนี้ ผ่านไปด้วยความเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่หลายเสียงยืนยันว่างามราวกับสวิสเซอแลนด์ แต่ที่แน่นอนคืองามด้วยพันธ์ไม้นานาน้อยใหญ่ แพรวพราวด้วยสีสัน และหลายครั้งก็แถมด้วยหมู่ Yak (จามรี) แระเล็มหญ้าเป็นฝูงให้เป็นที่ตื่น่ตาตื่นใจด้วย
Our visit of the central area include Trongsa and Bumthang.

จากนั้น เราย้อนกลับสู่เมืองพาโร ด้วยการอ้อมใต้เล็กน้อย ผ่าน Ha Valley ที่แอ่งเขานี้ เราหยุดทานทานกลางวันแบบปิคนิก ใต้หมู่สนสูงร่มรื่น สนเสียดใบ ในสายลม ริมธารที่น้ำเซาะหิน ไหลรินได้ยิน หมาใหญ่น้อยเมียงมอง ไม่กล้าและไม่กล้ว
Picnic lunch under patch of tall pine trees near a small stream, one of my most memorable times of the trip.

ภูฐานประทับใจ หลายรส หลายลักษณ์ หลายเรื่อง เริ่มแรกโดยตระหนักในธรรมชาติของขุนเขา หุบผา ที่ตระหง่าน โอบล้อมรอบหมู่บ้านและทุกชีวิต มีทางสายเล็กสายคดเคี้ยว วกวนบางครั้ง เกินกว่าแค่เพียงพับผ้า เป็นความงามที่น่ายำเกรง
the valley of winding road

หมู่ธงสีสะพรั่ง สูงลิ่ว สบัดพริ้ว ลิ่วลมอึงคนึง ธงเหล่านี้แพร่พุทธรรมไปกับสายลม ทั่วสารทิศ อีกที้ง ชโลมจิตที่อ่อนล้าของผู้เดินทาง ตามโตรกเขาอันคดเคี้ยว ตามทางอันหักย้อน เท่ากัน
prayer flags that's such a relieve and sheerful sight when you come across one after long hours of traveling

ท่ามกลาง ขุนเขาใกล้ไกลและน้อยใหญ่ ที่อาบฉานด้วยแสงสะอาดของยามเย็น


the hills and the light filled evening sky

ความจริงของชีวิตในโลกวันนี้ ชีวิตที่ไม่เดียวดาย ไม่ไร้คู่สาย แม้บนสวรรค์ ก็ยังแฮปปี้ได้
you are not alone

ครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่เสียดายที่ได้ตะเกียกตะกายไปขึ้น Taktsang วัดสำคัญที่สุดของภูฐาน บนเขาสูงที่เมือง ภาโร ในการนั่งวาดลงสี กับสิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ที่ไม่ต้องยกเมฆจากรูปถ่ายในห้องโรงแรม หรือนั่งเทียนที่กรุงเทพฯ
once in a life time visited Taktsang, high up on the mountain of Paro.

I will be here, doing this again if I ever visit Bhutan again.

จากทักซัง เราเข้าชม Dzong ใหญ่ที่สุดในภาโร วัดแห่งนี้ ประกอบด้วยลานใหญ่ภายในสองลาน ต่อเชื่อมต่างระดับด้วยขั้นบันไดที่ทอดเงาเหลื่อมล้ำกลางแดดอ่อนยามเย็น
Dzong of Paro: view of court yard and its steps, steps, steps and steps.

วันสุดท้ายที่ภาโร ประตูเข้าออกของภูฐาน สวรรค์บนแดนเขียวของไหล่เขาและหุบกว้าง ที่ธารน้ำไหลเย็น ลมกรรโชกแรง แดดใสฟ้าโปร่ง เมฆหนาลอยฟ่อง บางครั้งระเรี่ยบางครั้งอ้อยอิ่ง ที่เวลามีความหมายน้อยกว่าจุดมุ่งหมาย ที่จุดมุ่งหมายมีความหมายน้อยกว่าความสงบ ที่ที่การเดินด้วยเท้า ให้ระยะทางมากกว่ารถ ที่การฟังให้ความหมายมากกว่าคำพูด และความคิดให้ภาพชัดเจนกว่าการเห็น

ในการวาดรูประหว่างท่องเที่ยวเรียนรู้ที่ภูฐานนี้ รางวัลที่มีค่าที่สุดคือมิตรภาพจากสหายน้อยๆหลายคน เณรน้อยเหล่านี้ พลิกสมุดรูปวาด เพลิดเพลินกับหลายแห่งที่บันทึกไว้ด้วยเส้นหมีกและดินสอ ดีใจเมื่อเจอบางรูป ของสถานที่ที่รู้จัก จำได้ ด้วยเสียงที่ตื่นเต้น ด้วยแววตาที่อยากรู้ และด้วยสีหน้าที่กระตือรือล้น ผมได้แต่ตื้นตัน ที่มีโอกาสนั้นในช่วงลมหายใจนั้น กลางเพื่อนน้อยๆที่เพิ่งรู้จัก ได้ทำในสิ่งที่ให้ความสุขกับอีกสองสามชีวิตนี้
I have no idea if that was the first time this young Bhutanese ever see a sketchbook. But I hope they enjoy the sketches as much as we all do and like the idea of doing sketches.